เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๒๔ ม.ค. ๒๕๕๘

 

เทศน์เช้า วันที่ ๒๔ มกราคม ๒๕๕๘
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

เราเกิดเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา เวลาเราฟังครูบาอาจารย์เทศน์ บอกว่าเรามีอำนาจวาสนา เราเป็นคนมีอำนาจวาสนานะ เกิดมาเป็นชาวพุทธ เกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนาสอนถึงความสุข ความสุข ความสงบ ความระงับ แล้วความสุขมันมีความสุขทางโลกและความสุขทางธรรม

ถ้าความสุขทางโลก เกิดมาในชาติในตระกูล บุญคือในครอบครัวของเรามีความเข้าใจกัน ความเข้าใจกัน ความสมานสามัคคีกัน ความอบอุ่นระหว่างพ่อแม่ลูกที่คุยกันรู้เรื่อง อันนี้เป็นบุญมากที่สุดเลย ถ้ามีความขัดแย้ง มีความขัดแย้งมีความไม่เข้าใจกัน อันนั้นมันทำให้เราไม่สบายใจเลย

นี่บุญ บุญ ในครอบครัวของเรามีความเข้าใจกัน มีความสามัคคีกัน มันมีความอบอุ่น เห็นไหม เวลาออกไปทำงาน เราอยากกลับบ้าน บางคนไปทำงานแล้วไม่อยากกลับบ้าน กลับบ้านไปมันเจอแต่ความเร่าร้อน มันไม่อยากกลับบ้าน

ถ้ามีความเข้าใจกัน มีความอบอุ่น นี่คือบุญ แล้วความขาดตกบกพร่อง ความอุดมสมบูรณ์ในทรัพยากรนั้นอีกเรื่องหนึ่ง อีกเรื่องหนึ่ง เห็นไหม คนมีอำนาจวาสนามาก ทำสิ่งใดก็ประสบความสำเร็จ เวลามาบวชพระ พระสีวลีๆ มีลาภน้อยกว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่มีเลิศที่สุดในสาวกขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เขาไปถามว่ามันเป็นแบบใดล่ะ เวลาพระสารีบุตร พระโมคคัลลานะเป็นอัครสาวกเบื้องซ้ายและเบื้องขวา ทำไมมีลาภสักการะไม่เท่ากับพระสีวลีล่ะ

คนที่มีตำแหน่งสูง เป็นอัครสาวกเบื้องซ้ายและเบื้องขวา เวลาเผยแผ่ธรรม เสนาบดีแห่งธรรม เวลาเผยแผ่ธรรม เสนาบดีแห่งธรรมมันเข้าใจธรรม คือมันได้ประโยชน์มากไง แต่เวลาลาภสักการะทำไมไม่อุดมสมบูรณ์เท่ากับพระสีวลีล่ะ เห็นไหม มันมีที่มาที่ไปทั้งนั้นแหละ

ฉะนั้น บอกว่า เวลาบุญกุศลให้เราเข้าใจกัน เรามีความสามัคคีกัน เราสื่อสารกัน ความเข้าใจ อันนี้เป็นบุญเริ่มต้นเลย แล้วความขาดตกบกพร่องหรืออุดมสมบูรณ์นั้นมันเป็นอำนาจวาสนาของคน เป็นการกระทำของคน เป็นปัญญาของคน

ในทางวิทยาศาสตร์ ในปัจจุบันเขาพิสูจน์ว่ามันเป็นความขยันของเขา เป็นความวิริยอุตสาหะของเขา เขาถึงประสบความสำเร็จของเขา...ใช่ เพราะอะไร เพราะมันเป็นกรรมปัจจุบันไง กรรม มันมีกรรมอดีตมันถึงส่งเรามาเกิด เวลามาเกิดเป็นมนุษย์ มนุษย์ทำไมมีความรู้สึกนึกคิดไม่เหมือนกัน มนุษย์เกิดมาแล้วรูปร่างหน้าตาไม่เหมือนกัน มนุษย์เกิดมาแล้ว บางทีเราไปเจอแล้วเราแปลกใจนะ มนุษย์ทำไมคิดได้อย่างนั้นน่ะ เวลาเขาคิดของเขา เขาคิดแต่เรื่องเอาไฟแผดเผาตัวของเขา เขาคิดได้อย่างนั้นน่ะ บางคนคิดดี เขาคิดดี เขาคิดจนคิดไม่ถึงว่าคนมีความคิดอย่างนั้น

นี่ไง เวลาที่มาที่ไป เวลามันมา มาอย่างไร เวลามาแล้ว แต่ในปัจจุบันนี้จะมาโดยบุญกุศลมากน้อยขนาดไหน จะมีสิ่งใดติดตัวมาขนาดไหน แต่ในปัจจุบันนี้ก็ต้องขยันหมั่นเพียรทั้งนั้นแหละ เวลาความสุขทางโลก ความสุขทางโลก เราปรารถนาความสุขกัน ปรารถนาความสุขแล้ว เวลาพระพุทธศาสนาสอน สอนให้เสียสละ

“อ้าว! ก็ปรารถนาความสุข เสียสละทำไมล่ะ”

การเสียสละอย่างนั้น เสียสละ เห็นไหม ดูสิ เวลาที่ว่าเราจะเข้าใจกัน เราเข้าใจกันมันเป็นบุญกุศล เป็นความเข้าใจกัน เวลาสิ่งที่ไม่เข้าใจกัน เราต้องการให้คนที่ไม่เข้าใจเขามีความเข้าใจถูกต้องดีงามเสีย แล้วความเข้าใจนั้นมันมาจากไหน ก็เป็นความคิดของเขาใช่ไหม เราก็พยายามอธิบายแล้วอธิบายเล่าให้เขาเข้าใจ เขาก็ไม่เข้าใจของเขา

แต่เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกให้เสียสละทาน การเสียสละ การเสียสละความตระหนี่ถี่เหนียว ความรู้สึกนึกคิด การเสียสละเป็นการฝึกฝน การฝึกฝนใจนะ การทำทานนี่แหละคือการภาวนาอ่อนๆ การภาวนา เห็นไหม การภาวนาเขาต้องเสียสละความรู้สึกนึกคิด สิ่งที่ความรู้สึก ความฟุ้งซ่านในหัวใจ พยายามเสียสละให้มันสงบเข้ามาให้ได้ ถ้ามันสงบเข้ามาได้นั้นคือสัมมาสมาธิ

แต่นี่เหมือนกัน ความรู้สึกนึกคิดที่มันฟุ้งซ่านอยู่นี่ ที่มันตระหนี่ถี่เหนียว ที่มันขัดแย้งในใจของเรา เราต้องการเสียสละออกไป เราต้องการความสามัคคี เราต้องการความเข้าใจกัน เราต้องการพูดกันรู้เรื่อง แล้วพูดกันรู้เรื่อง ความเห็นทิฏฐิมานะมันขัดแย้งกัน มันไม่รู้เรื่อง ความไม่รู้เรื่อง เราเสียสละๆ สละทาน ฝึกหัดๆ ใจ นี่การเสียสละ

ของเราหามา ดูสิ เวลาคนที่จิตใจเขาประณีต เวลาเขาทำบุญของเขา เขาทำบุญของเขาด้วยความที่ประณีตอันนั้น เพราะจิตใจเขาละเอียดอ่อน อย่างของเรา เราแค่มีน้ำใจ แค่มีสิ่งใดที่เสียสละ เวลาเสียสละ จิตใจมันจะพัฒนาอย่างนั้นแหละ ถ้ามันพัฒนาไปแล้ว เวลาคนที่จิตใจเขาประณีต จิตใจของเขาประณีต จิตใจของเขาอบอุ่นของเขา เขาพร้อมฟัง เขาพร้อมฟัง เขาพร้อมแก้ไขนะ ขอให้มีคนบอกเถิด ดูสิ เวลาเรามาบวชเป็นพระ เวลาบวชเป็นพระ เวลาสุขทางโลกก็สุขการแสวงหาอย่างนั้น เวลาเขาต้องการสุขแบบวิมุตติสุข สุขแบบเป็นความจริง

ความสุขของเราสุขทางโลกมันเป็นอนิจจัง สรรพสิ่งในโลกนี้มันเป็นอนิจจัง สิ่งใดเป็นอนิจจัง สิ่งนั้นเป็นทุกข์ สิ่งใดเป็นทุกข์ สิ่งนั้นเป็นอนัตตา คำว่า “อนิจจัง” แต่ถ้ามันสุขเวทนา-ทุกขเวทนา ถ้ามันสุขเวทนาก็เป็นอนิจจัง แต่เราก็ปรารถนาความสุขที่มันสุขเวทนาอย่างนี้ เวลาได้สิ่งใดสมความปรารถนาก็มีความสุข ความสุขแล้วก็ต้องการให้มันมากขึ้นไปกว่านั้น ต้องการให้มันสมบูรณ์ไปมากกว่านั้น เห็นไหม มันเป็นอนิจจัง

สิ่งใดเป็นอนิจจัง สิ่งนั้นเป็นทุกข์ สิ่งใดเป็นทุกข์ สิ่งนั้นเป็นอนัตตา

เวลาเรามาบวชเป็นพระ เราต้องการความสุขที่ไม่อยู่ในอนิจจังนั้น ถ้าความสุขที่ไม่อยู่ในอนิจจัง เราบวชเป็นพระแล้วเราก็ต้องฝึกฝนของเรา ถ้าเราฝึกฝนของเรา เห็นไหม การฝึกฝน การฝึกฝนในหัวใจของเรา ในหัวใจของเราก็มีข้อวัตรปฏิบัติ ข้อวัตรปฏิบัติเป็นเครื่องอยู่ของใจไง ถ้าใจมันเกาะสิ่งนี้ไว้ คำบริกรรมพุทโธ ใช้ปัญญาอบรมสมาธิ มันเกาะสิ่งนี้ไว้ เกาะสิ่งนี้ไว้ไปทำไม

ดูสิ เวลาเราเสียสละทานๆ มันเกิดจากเจตนา ถ้าเรามีเจตนา เรามีความจริงใจของเรา สิ่งใดมันเป็นบุญกุศลของเรา ปฏิคาหก สิ่งที่เราแสวงหามา แสวงหามาด้วยความสะอาดบริสุทธิ์ เวลาเราให้ เราให้ด้วยจิตใจที่เบิกบาน เวลาให้แล้วเรามีความสุขของเรา ผู้รับรับด้วยความสะอาดบริสุทธิ์ รับแล้วใช้ประโยชน์ของเขาให้เต็มที่ของเขา นี่ปฏิคาหก บุญอย่างนี้ประเสริฐที่สุด

นี่ก็เหมือนกัน เวลาเราบวชแล้วเราจะประพฤติปฏิบัติของเรา ปฏิคาหก ศีล สมาธิ ปัญญา ถ้าเราสร้างศีล สมาธิ ปัญญาขึ้นมา มันเป็นอนิจจังใช่ไหม แล้วเป็นอนิจจัง ไปสร้างขึ้นมาทำไมล่ะ เพราะมันไม่คงที่ มันเป็นอนิจจัง

แต่สิ่งที่เป็นอนิจจัง ความคิดมันเกิดดับมันเป็นอนิจจังอยู่แล้ว ถ้าเป็นอนิจจังอยู่แล้ว เราจะฝึกฝนของเราไง เราจะฝึกฝน เราจะเห็นความเป็นนิจจัง ความแน่แท้ไง ความแน่แท้ ปฏิสนธิจิต ภวาสวะ ภพ ความเป็นอนิจจัง ความคิดมันเกิดจากอะไร? เกิดจากจิต แล้วภวาสวะ ดูสิ จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส จิตเดิมแท้นี้หมองไปด้วยอุปกิเลส

จิตเดิมแท้ผ่องใส จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส ความผ่องใสคือความสว่าง คือพลังงานเท่านั้น เห็นไหม มันมีเศร้าหมอง มันมีผ่องใส เวลาชื่นบานมันก็ผ่องใส เวลามันทุกข์ของมัน มันก็เศร้าหมอง แม้แต่ตัวมันเองมันยังเศร้าหมอง มันยังผ่องใส

แต่นี้ความคิดเกิดจากจิต ความคิดเกิดจากพลังงานอันนั้น ถ้าความคิดเกิดจากพลังงานอันนั้น เราก็มีสติปัญญา มีสติปัญญาใช้ความคิดนี้ กำหนดพุทโธก็เป็นความระลึกรู้ ระลึก วิตก วิจาร เราคิดถึงพุทโธ พุทโธถึงมีกับเรา เราไม่ได้คิดถึงพุทโธ พุทโธอยู่ในพระไตรปิฎก พุทโธอยู่ในตำรา แต่พุทโธไม่ได้เกิดขึ้นมาจากเรา แต่เราเป็นคนคิดพุทโธ พุทโธเกิดจากใจเราทันทีเลย

คนที่เขาไม่ได้คิดมันก็ไม่มีพุทโธ เขาไม่มีพุทโธในหัวใจของเขา เขามีความคิด มีความฟุ้งซ่าน มีความบีบคั้นในใจของเขา เขาไม่มีพุทโธของเขา ทั้งๆ ที่เขามีพุทธะ เห็นไหม

ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต ผู้ใดเห็นใจของตัวเอง ถ้าจิตมันสงบระงับมันปล่อยวางเข้ามา ถ้ามันปล่อยความคิดเข้ามา มันเป็นตัวมันเอง มันจะเห็นไง สัมมาสมาธิเป็นแบบนี้ เพราะคนไปเห็นจิตเดิมแท้ของตัวเองเป็นสัมมาสมาธิขึ้นมา ถ้าเป็นสมาธิขึ้นมา ฝึกฝนขึ้นมา เราจะไปหาสิ่งที่ไม่เป็นอนิจจังไง

ความคิดมันเกิดดับในใจเป็นอนิจจังไหม? อนิจจังอยู่แล้ว เพราะมันเกิดดับ มันแปรสภาพ แล้วพลังงานมันเกิดดับไหม พลังงานมันมีเศร้าหมอง มีผ่องใส พลังงานมันไม่เกิดดับ พลังงานนั้นมันก็ยังไม่คงที่ของมัน

เวลาจิตสงบแล้วฝึกหัดใช้ปัญญาของเรา ถ้าปัญญาภาวนามยปัญญา ที่เราจะเอาความสุข ความแท้จริง สุขมันต้องเป็นสุขอย่างนั้น เวลาสุขอย่างนั้นมันต้องเกิดขึ้นมาจากการภาวนา เวลาทำบุญกุศล เราทำบุญกุศลนะ เราได้ทำครบกระบวนการแล้วเราก็มีความพอใจแล้ว เราฝึกฝนของเรา เราทำของเรา เราปรารถนาความสุขทางโลก ความสุขทางโลกเราก็แสวงหา ใครไม่ต้องการปรารถนา ดูสิ เวลาไม่ต้องการปรารถนาความสุขทางโลก พระก็ต้องอย่ามาใช้ปัจจัย ๔ สิ

เวลาพระบวช เวลาพระบวชขึ้นมา ปัจจัย ๔ บาตร แสวงหาอาหาร มีเครื่องนุ่งห่ม ไตรจีวร แล้วที่อยู่อาศัยก็อยู่ในเรือนว่าง เวลายารักษาโรค น้ำมูตรเน่า นี่มีปัจจัย ๔ มันต้องมีปัจจัย ๔ เพราะปัจจัย ๔ อย่างนี้มันเกิดขึ้นมากับเราอยู่แล้ว ปัจจัย ๔ นี้มันมีอยู่โดยธรรมชาติอยู่แล้ว แต่คนมองข้ามไป พอคนมองข้ามไป องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้ใช้ปัจจัย ๔ อย่างนี้ เพราะชีวิต ผลของวัฏฏะ การเวียนว่ายตายเกิด เกิดเป็นพรหม ผัสสาหาร เกิดเป็นเทวดา วิญญาณาหาร เกิดเป็นมนุษย์ เกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน กวฬิงการาหาร เกิดในนรกอเวจี สิ่งนั้นมันเป็นบาปกรรม เห็นไหม มันเกิดในภพใด ชาติใด อยู่อย่างใด มีชีวิตอย่างใด ใช้อาหารอย่างใด มันมีของมันนะ

แล้วเราเกิดเป็นมนุษย์ มนุษย์มีร่างกาย ร่างกายมันต้องกินอาหาร มันต้องใช้ปัจจัย กวฬิงการาหาร มันต้องมีอาหารดำรงชีวิต แล้วชีวิตนี้มีค่ามาก เราจะดำรงชีวิตนี้ไว้ แล้วเรามีชีวิตไว้ทำไม

มีชีวิตไว้เราก็แสวงหา เพราะเริ่มต้น ดูสิ เวลาเรามีลูกมีเต้า ลูกเต้าเราตั้งแต่เด็กน้อยขึ้นมา นี่สายบุญสายกรรม เพราะอะไร เพราะเราเกิดเป็นมนุษย์เราก็มีพ่อมีแม่เหมือนกัน เราปฏิเสธสิ่งนี้ไม่ได้ ผลของวัฏฏะคือมันมีของมันอยู่อย่างนี้ วิวัฒนาการของมันเป็นแบบนี้ ถ้าวิวัฒนาการเป็นแบบนี้ จิตมันได้มาเกิดในวิวัฒนาการแบบนี้ ถ้าวิวัฒนาการแบบนี้ เกิดมาแล้ว เกิดมานี่ผลของวัฏฏะ คนเราเกิดเป็นเทวดา เป็นอินทร์ เป็นพรหม เขามีสติปัญญาของเขา เขามาฟังเทศน์องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เขามาฟังเทศน์ครูบาอาจารย์ของเรา มาฟังเรื่องอริยสัจเพื่อให้เขามีมรรคญาณ เขาต้องการความสุขที่แท้จริงของเขา ไม่ใช่ความสุขในวัฏฏะ ความสุขเกิดจากการเวียนว่ายตายเกิด

นี่ก็เหมือนกัน เวลาเรามาเวียนว่ายตายเกิด เราเกิดมานี่ผลของวัฏฏะ ผลของวัฏฏะ สิ่งที่แสวงหาเราก็แสวงหา สิ่งที่ผลของวัฏฏะคือมันเป็นต้นทุน มันเป็นข้อเท็จจริง แต่ข้อเท็จจริงนี้มันเป็นผลของวัฏฏะ คือข้อเท็จจริงที่มันเปลี่ยนแปลงที่ธรรมชาติๆ แล้วเอาข้อเท็จจริงอย่างนี้มาแสวงหาอริยสัจ เอาข้อเท็จจริงแสวงหาสิ่งที่ดีงามขึ้นไปกว่านี้ เราถึงขวนขวายกันนี่ไง

เราขวนขวายเพื่อสร้างอำนาจวาสนาบารมี บุญกุศลพาให้เกิด คนเราต้องเวียนว่ายตายเกิดก็เวียนว่ายตายเกิดพอมีบุญมีกุศลเพื่อให้ชีวิตนี้ไม่ลำบากทุกข์ยากจนเกินไป แล้วถ้ามีชีวิตนี้แล้ว ถ้าแสวงหาทางโลกมันก็ได้เรื่องโลก แสวงหาทางธรรมก็ได้เรื่องธรรม เวลาบวชเป็นพระขึ้นมาแล้ว บวชเป็นพระแล้วแสวงหาทางธรรม แต่ในเมื่อปัจจัยเครื่องอาศัย ในเมื่อมันต้องดำรงชีวิต ดำรงชีวิตไว้ สิ่งที่มีค่าดำรงชีวิตไว้เพื่อค้นคว้า ดำรงชีวิตไว้เพื่อแสวงหา ดำรงชีวิตไว้ไง

ทีนี้ดำรงชีวิต คำว่า “ดำรงชีวิตๆ” อวิชชามันอยู่ที่นั่น เวลาอวิชชามันอยู่ที่นั่น คนเรามีทิฏฐิมานะ ทิฏฐิมานะของคนหยาบ กลาง ละเอียด ทิฏฐิมานะของคน เห็นไหม มันมีทิฏฐิมานะไปทั้งนั้น เวลาเวียนว่ายตายเกิดมีอวิชชาทั้งนั้น ถ้ามีอวิชชาทั้งนั้น นี่จริตนิสัย ทีนี้จริตนิสัยเวลาภาวนา เวลาบวชเป็นพระแล้ว เวลาเราไปวิเวก จะไปอยู่กับครูบาอาจารย์องค์ใดให้ดูกัน ๗ วัน ให้ดูนิสัยว่านิสัยไปกันได้หรือไปกันไม่ได้ ถ้าไปกันไม่ได้ เราก็ธุดงค์ต่อเนื่องไป เราจะไปหาครูบาอาจารย์ของเรา เห็นไหม นิสัยใจคอมันเข้ากันไม่ได้ นี่ถ้านิสัยใจคอเข้ากันไม่ได้

ถ้าไปเจอครูบาอาจารย์ที่นิสัยใจคอเข้ากันได้ ใจคอเข้ากันได้ นั่นส่วนที่เข้ากันได้ แล้วสิ่งที่เข้ากันได้ ครูบาอาจารย์ที่เข้ากันได้ท่านมีคุณธรรมจริงหรือเปล่า ถ้ามีคุณธรรมจริง มันต้องขัดเกลา ขัดเกลากิเลสของเรา ขัดเกลาให้จิตใจเราเบิกบานขึ้นมา จิตใจเราสว่างไสวขึ้นมา ถ้าจิตใจสว่างไสวขึ้นมา เราทำขึ้นมา แล้วมันรู้มันเห็น เราจะเห็นคุณค่าแล้ว เห็นคุณค่านะ

ทรัพย์สมบัติทางโลก สิ่งที่แสวงหาปัจจัยเครื่องอาศัย ทรัพย์สมบัติทางโลกเป็นสมบัติสาธารณะ เวลาบวชเป็นพระแล้วมันก็ต้องอาศัยปัจจัย ๔ เหมือนกัน แต่ปัจจัย ๔ ดำรงชีวิตนี้ไว้เพื่อแสวงหาสัจจะความจริง ถ้าแสวงหาสัจจะความจริง ถ้ามันมีสติ เวลาจิตมันสงบเข้ามามันเห็นแล้ว พอมันเห็น นี่ไง ครูบาอาจารย์ที่พยายามขัดเกลาเราไง ขัดเกลาเราให้เราเข้าไปสู่สัจจะความจริง

ถ้าสัจจะความจริง จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส จิตเดิมแท้หมองไปด้วยอุปกิเลส จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส จิตเดิมแท้นี้เป็นผู้ข้ามพ้นกิเลส มันเห็นชัดเจนมาก มันเห็นชัดเจน เวลาผ่องใสๆ มันเสื่อม เวลาผ่องใสมันแปรสภาพตลอด แล้วครูบาอาจารย์ทำอย่างไร ท่านจะให้ความผ่องใสข้ามพ้นมันไป ยกขึ้นมันไป พลังงานตัวนี้ต้องยกขึ้น ยกขึ้นอย่างไร

ดูสิ พระพุทธศาสนา ศาสนาแห่งปัญญา ศาสนานี้มหัศจรรย์ มหัศจรรย์ต่อเมื่อคนไปรู้ไปเห็นไง แล้วถ้าคนรู้เห็น เห็นตามร่องรอยของครูบาอาจารย์ มันมีสิ่งใดขัดแย้งกัน ถ้ามีความขัดแย้งกันมันต้องมีความผิดแน่นอน ถ้าไม่มีความขัดแย้งกัน มันไม่มีความขัดแย้งกันเพราะเหตุใด ไม่มีความขัดแย้ง เพราอะไร เพราะอริยสัจมันมีอันเดียว สัจธรรมมันมีหนึ่งเดียวเท่านั้นแหละ

ดูสิ เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะใครไปเกิด? จิตเราไปเกิด ธาตุรู้มันไปเกิด แต่เกิดแล้วเกิดในปัจจุบันตลอด เกิดมาแล้วก็ใหม่ตลอด เกิดมาแล้วก็ชาติปัจจุบันนี้ อดีตอนาคตเรายังปฏิเสธ เพราะเรายังไม่รู้เห็น เพราะทิฏฐิมานะ มันก็เป็นเรื่องธรรมดา

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นเจ้าชายสิทธัตถะนะ เวลาจิตสงบแล้ว บุพเพนิวาสานุสติญาณ ย้อนอดีตชาติไป ชัดเจน เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าย้อนไป ตั้งแต่เราเคยเป็นพระเวสสันดร ตั้งแต่พระเวสสันดรย้อนกลับไป สร้างสมบุญญาธิการมาขนาดไหน แล้วถ้ามันยังไม่เกิดมรรคเกิดญาณ เห็นไหม จุตูปปาตญาณ ถ้าจิตนี้ตายเดี๋ยวนี้มันก็ไปเกิดภพชาตินั้นๆ ทุกดวงจิตมันไปเกิดทุกภพชาติ นี่ผลของวัฏฏะเวียนว่ายตายเกิดนะ

ฉะนั้น อดีต อนาคต แล้วปัจจุบันล่ะ ปัจจุบันย้อนกลับมาอาสวักขยญาณ ทำลายในปัจจุบันนี้ไง ถ้าทำลายปัจจุบันนี้ ทำลายอะไร? ทำลายอวิชชา ทำลายความไม่รู้ เพราะมันไม่รู้ ดูสิว่าเขาอุเบกขา อุเบกขามันจะเอียงไปซ้ายและขวานะ อุเบกขามันจะไปของมัน นี่ก็เหมือนกัน ถ้ามันไม่ไป มันมีของมันอยู่ มันต้องไปของมันไง ทำลายตรงนี้ไง ทำลายภวาสวะไง ทำลายสิ่งที่มีอยู่ไง ทำลายแล้วมันเหลืออะไรล่ะ ทำลายแล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอีก ๔๕ ปี เหลืออะไร

ทำลายอวิชชา ทำลายภวาสวะ ทำลายภพ ไม่มีสิ่งใดอาศัยสิ่งก่อตัวขึ้นมาจากธรรมธาตุอันนี้ได้ พอพ้นไป สิ่งนี้พ้นไปถึงได้เข้าใจ ที่ว่าสิ่งที่ไปที่มาเราปฏิเสธ ปฏิเสธอดีตอนาคต ปฏิเสธว่าภพชาติไม่มี ปฏิเสธ

คำว่า “ปฏิเสธ” ส่วนปฏิเสธไป ผู้ใดปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ถ้าสมควรแก่ธรรม มันสว่างกระจ่างแจ้งกลางหัวใจ ถ้าไม่สมควร มันด้นเดา ถ้าด้นเดาก็สงสัยนี่แหละ ถ้ายังด้นเดา ยังลูบๆ คลำๆ ยังทำสิ่งใดไม่ได้ เห็นไหม

ฉะนั้น เวลานักปฏิบัติเรา เวลาสักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส เห็นไหม ถ้ามันขาดไปจากใจ ไม่สีลัพพตปรามาส ไม่ลูบไม่คลำ ไม่ลูบไม่คลำเพราะอะไร ไม่ลูบไม่คลำเพราะมันรู้มันเห็นของมันไง ไม่ลูบไม่คลำเพราะมันสำรอก มันคายไง คนเราสำรอกแล้วคายออกไป ดูสิ เราคายเสลดออกไป เราจะเลียกินกลับมาไหม เสลดคายทิ้งไปที่พื้น แล้วก็ไปเลียกินมัน ใครจะเลียกินมันได้ไหม เราก็ขยะแขยงเป็นธรรมดา อารมณ์ที่มันเจ็บปวดเราไปเลียกินมันตลอด สิ่งที่เจ็บช้ำน้ำใจมันไปเสวยตลอด ทำไมมันทำได้ล่ะ

แต่ถ้าสัจจะความจริงถ้ามันเห็น มันสำรอก มันคาย มันคายเสลดไปแล้วมันจะไม่ไปเลียกินเสลดอันนั้น นี่ไง มันถึงไม่ลูบไม่คลำไง ถ้าไม่ลูบไม่คลำ ความเป็นจริงอันนี้เป็นความจริงของเรา นี่อริยสัจ สัจจะความจริง ถ้าจิตมันทำได้ ความสุขอย่างนี้เราแสวงหาไง ที่เราทำบุญกุศลกันอยู่นี้ก็ต้องการให้ชีวิตเราประสบความสำเร็จ แม้แต่ดำรงชีวิตนี้ก็ให้มันมีความสุข ให้มีความสุข ไม่ทุกข์ยากจนเกินไป แล้วถ้าเรามีความสามารถ เรามีความวิริยะ ความอุตสาหะ เราทำของเราเพื่อประโยชน์กับเรา เพราะยังมีศรัทธาความเชื่อ

เวลาพระเราปฏิบัตินะ เวลามาขวนขวาย ปฏิบัติดีมาก เวลาจิตมันเสื่อม เวลามันท้อแท้ ทำไมพระสึกออกไป นักปฏิบัติเราเวลาล้มลุกคลุกคลาน เขาเลิกการปฏิบัติไป เลิกการปฏิบัติไปเพราะจิตมันเสื่อมไง เพราะมันท้อแท้ มันท้อแท้เวลามันเสื่อม แต่ถ้าเรายังมีความมุมานะ ยังมีศรัทธาความเชื่อ เราพยายามขวนขวายของเรา ทำของเรา สัจจะความจริงของเราให้เกิดกลางหัวใจของเรา

เวลาพิจารณาเป็นชั้นเป็นตอนเข้าไปนะ อกุปปธรรมๆ ถ้ามันขาดแล้ว มันเป็นความจริงของเราแล้วนะ มันเป็นสมบัติของเราคงที่ไง

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า บอกไว้ว่าภัทรกัปมีพระพุทธเจ้า ๕ องค์ แล้วอนาคตวงศ์ยังมีมาต่อเนื่องไปๆ เวลาการเวียนว่ายตายเกิดของจิต การเวียนว่ายตายเกิดได้สร้างบุญกุศลของเขาไว้ รอเวลาที่จะมาตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ต่อไปๆ

ใครจะเชื่อไม่เชื่อนั้นเป็นสิทธิ มันเป็นสิทธิ์ของคน ใครจะเชื่อไม่เชื่อมันเป็นสิทธิ์ของคน แต่ความจริงๆ ผู้ใดปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม เขาจะรู้ตามความจริงในหัวใจนั้น ถ้าตามความจริงในหัวใจนั้น นั่นล่ะความสุขแท้

เราแสวงหาความสุขแท้ของเรา แล้วแสวงหาที่กลางหัวใจ แสวงหามาจากเดินจงกรม แสวงหามาจากการนั่งสมาธิภาวนาให้เกิดมรรคเกิดผล เกิดปัญญาญาณ มันจะได้ผลตามจริงเพราะความวิริยะ ความอุตสาหะของจิตดวงนั้น เอวัง